สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม
เนื่องจากการทำงานของแบตเตอรี่ใช้หลักการทำปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างแผ่นธาตุ(ตะกั่ว) กับกรดซัลฟูริค เมื่อแบตเตอรี่คายประจุออกมากรดจะเปลี่ยนรูปเป็นผลึกซัลเฟต(ขี้เกลือ)เกาะอยู่ตามแผ่นธาตุ ทำให้หน้าสัมผัสระหว่างแผ่นธาตุกับน้ำกรดน้อยลง เป็นผลให้แบตเตอรี่มีประจุไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย
ในแบตเตอรี่ใหม่ที่อายุการใช้งานยังไม่มากนัก ผลึกซัลเฟตจะเป็นผลึกนิ่มๆยังไม่แข็งมาก ในระหว่างการชาร์จแบตเตอรี่กระแสไฟจากไดชาร์จรถยนต์ หรือ เครื่องชาร์จทั่วไป สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ คือผลึกซัลเฟต(ขี้เกลือ)หลุดออกจากแผ่นธาตุ และกลายสภาพกลับเป็นกรด แต่จะมีผลึกซัลเฟตบางส่วนตกค้างไม่ยอมหลุดออกจากแผ่นธาตุ เมื่อเวลาผ่านไปผลึกซัลเฟตจะเกาะแน่นและแข็งขึ้นเรื่อยๆ และมีการสะสมเพิ่มมากขึ้นจนพื้นที่แผ่นธาตุลดน้อยลง ซึ่งเกลือซัลเฟตจะทำตัวเป็นฉนวนทำให้เกิดความต้านทานภายใน และน้ำกรดบางส่วนกลายสภาพมาเป็นเกลือซัลเฟตทำให้ความเข้มข้นของกรดซัลฟูริคลดลงจนมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการทำงาน แบตเตอรี่จึงมีกำลังไฟและความจุลดน้อยลง ซึ่งทำให้เกิดสภาวะแบตเตอรี่เสื่อม
นอกจากแบตเตอรี่จะเกิดความเสื่อมจากการใช้งานตามปกติแล้ว ยังมีปัจจัยที่เกิดจากการลักษณะใช้งานที่ไม่ถูกต้องทำให้ก่อให้เกิดความเสื่อมเร็วยิ่งขึ้นไปอีก เช่น
- เกิดการจ่ายประจุมากเกินไป (High Discharge) และไม่ได้รับการชาร์จในเวลาอันควร
- ความเข้มข้นของกรดซัลฟูริคไม่เหมาะสม (เข้มข้นมากไป หรือน้อยไป)
- ใช้งานที่อุณหภูมิสูงติดต่อเป็นเวลานาน
- ไม่มีการชาร์จแบตเตอรี่เป็นเวลานานๆ
- เกิดการลัดวงจร
รู้หรือไม่ว่า...แบตเตอรี่ที่เราทิ้งกันในปัจจุบัน
มีมากกว่า 40% ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
การยืดอายุ และฟื้นฟูสภาพแบตเตอรี่
การที่จะทำให้แบตเตอรี่ที่เสื่อม มีกำลังไฟและความจุที่ดีขึ้นนั้น เราต้องขจัดผลึกซัลเฟตแข็งที่ตกค้างอยู่ที่แผ่นธาตุออก ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธีหลักๆด้วยกันคือ
1. ใช้สารเคมีสลายซัลเฟตเติมลงในช่องน้ำกรด
วิธีนี้ค่อนข้างอันตรายเนื่องจากมีโอกาสสัมผัสกับน้ำกรดและสารเคมีซึ่งมีความเป็นพิษสูง และการสลายซัลเฟตด้วยวิธีนี้จะทำให้แผ่นธาตุบางลง เนื่องจากฤิทธิ์กัดกร่อนของสารเคมีที่ใช้ จึงอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหายถาวรเนื่องจากแผ่นธาตุเปราะและแตกหักได้
2. ใช้เครื่องมือทางไฟฟ้าสลายซัลเฟต
เครื่องสลายซัลเฟตด้วยไฟฟ้าจะใช้เทคนิคการควบคุมความถี่ , แอมปลิจูด ของ โวลต์ (V) และกระแส (A) ในลักษณะของพัลส์ (Pulse) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบันเนื่องจากไม่เป็นอันตรายต่อแผ่นธาตุ และมีการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก มีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ
2.1) วงจรสลายซัลเฟตแบบใช้แหล่งไฟภายนอกเพื่อทำการชาร์จ
2.2) เครื่องฟื้นฟูแบตเตอรี่ (เครื่องสลายซัลเฟตแบบมีเครื่องชาร์จในตัว) โดยจะทำการสลายซัลเฟตพร้อมทั้งทำการชาร์จไปพร้อมกัน [สำหรับรุ่นนี้ทางร้านมีจำหน่ายแล้ว...คลิ๊ก]
ข้อดีของการใช้เครื่องฟื้นฟูแบตเตอรี่ คือ ในระหว่างการชาร์จอุณหภูมิของแบตเตอรี่จะไม่สูง เมื่อเทียบกับเครื่องชาร์จแบบ Analog ที่ระหว่างชาร์จจะทำให้อุณหภูมิของแบตฯที่สูงกว่าซึ่งเท่ากับเป็นการบั่นทอนอายุของแบตเตอรี่ด้วย เมื่อชาร์จที่อุณหภูมิต่ำกว่าการเกิดก๊าซในแบตเตอร์รี่ก็จะน้อยกว่าการชาร์จด้วยเครื่องชาร์จทั่วไปทำให้มีความปลอดภัยกว่า และระหว่างการชาร์จเครื่องชาร์จจะทำการ Balance ค่า Voltage ของแต่ละเซลล์ให้ ซึ่งทำให้การประจุไฟสามารถทำได้อย่างสมดุล ลดปัญหาการจ่ายไฟระหว่างเซลล์ภายในเอง และป้องกันการเกิด Over Voltage ของเซลล์ใดเซลล์หนึ่งได้
โดยทั่วไปแบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2-3 ปี หากสามารถยืดอายุการใช้งานได้เพิ่มอีกเท่าตัว หรืออย่างน้อยสัก 1-2 ปีคงจะดีไม่น้อย
ไลน์ไอดี : v-powers