รู้หรือไม่ว่า...แบตเตอรี่ที่เราทิ้งกันนั้น
มากกว่า 40% เป็นแบตเตอรี่ที่ยังไม่เสีย
โดยทั่วไปแบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2-3 ปี หากสามารถยืดอายุการใช้งานได้เพิ่มอีกเท่าตัว หรืออย่างน้อยสัก 1-2 ปีคงจะดีไม่น้อย
สาเหตุหลักที่ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นลงนั้น เกิดจากการสะสมของผลึกซัลเฟตที่แผ่นธาตุภายในตัวแบตเตอรี่ จึงทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ลดลง จนถึงขั้นแบตเตอรี่เสื่อม ดังนั้นการฟื้นฟูประสิทธิภาพของแบตเตอรี่จึงจำเป็นต้องกำจัดผลึกซัลเฟตที่สะสมอยู่บริเวณแผ่นธาตุออกซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน
[ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมและวิธีการกำจัดผลึกซัลเฟต...คลิ๊กที่นี่]
[การฟื้นฟูประสิทธิภาพแบตเตอรี่ควรเริ่มทำเมื่อใด?...คลิ๊กที่นี่]
เครื่องชาร์จและฟื้นฟูประสิทธิภาพแบตเตอรี่ คือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ที่มีความสามารถในการสลายซัลเฟตภายในแบตเตอรี่เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน และฟื้นฟูประสิทธิภาพในการเก็บประจุไฟฟ้าของแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถใช้งานได้กับแบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด(Lead Acid Battery)ทุกประเภท ทั้งแบบน้ำ(Wet) แบบกึ่งแห้ง(MF) และแบบแห้ง(SLA) โดยสามารถทำการชาร์จโดยไม่จำเป็นต้องนำแบตเตอรี่ออกจากตัวรถ
เครื่องชาร์จและฟื้นฟูแบตเตอรี่ ควบคุมการทำงานด้วย MCU ที่สามารถปรับค่าแรงดัน , กระแส และความถี่ที่ใช้ในการชาร์จโดยอัตโนมัติ พร้อมความปลอดภัยด้วยระบบ Polarity Protection (ป้องกันการต่อสายสลับขั้ว) , Overcharge Protection (ป้องกันกระแสเกินขณะชาร์จ) ฯลฯ
แบตเตอรี่ที่สามารถนำมาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู
1. แบตเตอรี่ใหม่
2. แบตเตอรี่ที่ไม่ได้งานเป็นระยะเวลานาน
3. แบตเตอรี่ที่ใช้งานมาระยะเวลาหนึ่ง
4. แบตเตอรี่ที่เริ่มเก็บไฟไม่อยู่
โดยต้องไม่มีการชำรุดเสียหายของเปลือกแบตเตอรี่ แผ่นธาตุ หรือสะพานไฟ
สำหรับแบตเตอรี่ที่เก็บไฟไม่อยู่(แบตฯเสื่อม,เซลล์แบตเตอรี่ตาย) จะไม่สามารถฟื้นฟูได้
การเลือกใช้งานเครื่องชาร์จและฟื้นฟูแบตเตอรี่
![]() |
แนะนำใช้งานร่วมกับ แบตเตอรี่ 12V ขนาด 5-100 แอมป์ |
||
![]() |
แนะนำใช้งานร่วมกับ แบตเตอรี่ 12V ขนาด 50-150 แอมป์ |
![]() |
|
![]() |
แนะนำใช้งานร่วมกับ แบตเตอรี่ 12V ขนาด 100-200 แอมป์ |
ความถี่ในการใช้งานสำหรับแบตเตอรี่ในสภาพที่แตกต่างกัน
แบตเตอรี่ที่จะนำมาฟื้นฟูประสิทธิภาพควรเป็นแบตเตอรี่ที่ยังสามารถเก็บประจุไฟได้ไม่น้อยกว่า 40% เพราะในกระบวนการสลายซัลเฟตนั้นไม่สามารถกำจัดผลึกซัลเฟตที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในครั้งแรกที่ใช้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา และความต่อเนื่องในการใช้งาน
จากภาพด้านบนจึงสรุปได้ว่า...แบตเตอรี่ที่นำมาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูยิ่งมีประสิทธิภาพดีมากเพียงใด ก็จะยิ่งยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานมากขึ้นตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น
- แบตเตอรี่ใหม่ ทำการฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานถึง 4-5 ปี
- แบตเตอรี่ผ่านการใช้งานมา 1 ปี แล้วจึงทำการฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ อาจยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีก 1-2 ปี
- แบตเตอรี่ที่เริ่มเสื่อมแล้วจึงทำการฟื้นฟู อาจยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีกเพียง 2-3 เดือน
คำแนะนำในการใช้งาน
1. แบตเตอรี่ใหม่ ควรทำการฟื้นฟูประสิทธิภาพเป็นประจำอย่างน้อย 2-3 เดือน/ครั้ง
2. แบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานมาระยะเวลาหนึ่ง แต่ยังสามารถเก็บประจุไฟได้ 70-80% ควรทำการฟื้นฟูอย่างน้อย 1-2 เดือน/ครั้ง
3. แบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานมาระยะเวลาหนึ่ง แต่เก็บประจุไฟได้ต่ำกว่า 60% ควรทำการฟื้นฟูอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไลน์ไอดี : v-powers