
สำหรับเครื่องจั๊มสตาร์ทรถยนต์ในเจเนอเรชั่นที่2 จะเป็นเครื่องจั๊มสตาร์ทรถยนต์รุ่นใหม่ ที่มี่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาจากเจเนอรชั่นแรก เพื่อให้มีความทนทาน และประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มสูงขึ้น โดยจะมีการปรับปรุงทั้งในส่วนของชนิดของเซลล์แบตเตอรี่ จำนวนเซลล์แบตเตอรี่ รวมไปถึงสายจั๊มแบบ multi safety protection ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. Hyper Temperature Resistance Battery (H.T.R. Battery) ด้วยเทคโนโลยี Nano Ceramic Diaphragm ซึ่งเป็นการนำวัสดุประเภทนาโนเซรามิกมาใช้เป็นฉนวนกั้นระหว่างเซลล์ ช่วยทำให้เซลล์แบตเตอรี่มีความแข็งแรงมากขึ้น ทนความร้อนได้สูงขึ้น และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
2. TurBoost 4S Starter
สำหรับเครื่องจั๊มสตาร์ทในเจเนอเรชั่นแรก ซึ่งเป็นเครื่องจั๊มสตาร์ทที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปในท้องตลาดในปัจจุบัน จะใช้แบตเตอรี่จำนวน 3 cells จึงมีแรงดันอยู่ที่ 11.8-12.4 โวลต์ ทำให้เซลล์แบตเตอรี่ต้องรับภาระค่อนข้างหนัก และเกิดความร้อนสูง เป็นผลทำให้อายุในการใช้งานค่อนข้างสั้น ส่วนเครื่องจั๊มสตาร์ทรุ่นใหม่จะใช้ระบบ TurBoost 4S Starter เป็นการใช้แบตเตอรี่จำนวน 4 cells (เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 1 เซลล์นั่นเอง) ทำให้มีแรงดัน 14.8-16.6 โวลต์ ซึ่งเป็นแรงดันที่เหมาะสมในการพ่วงแบตเตอรี่เพื่อสตาร์ทรถยนต์ (เปรียบเทียบง่ายๆกับการใช้สายพ่วงแบตฯ รถยนต์คันที่มาช่วยพ่วงแบตฯจะต้องสตาร์ทรถและเร่งรอบเครื่องสูงๆเพื่อเพิ่มแรงดันให้กับแบตเตอรี่สำหรับช่วยสตาร์ทรถที่แบตฯหมด) หากเปรียบเทียบกับเครื่องจั๊มสตาร์ทรุ่นเก่าที่มีขนาดเท่ากัน จะพบว่าเครื่องจั๊มสตาร์ทรุ่นใหม่ที่มีระบบ TurBoost 4S Starter สามารถจั๊มสตาร์ทรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่า สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า
เปรียบเทียบเครื่องจั๊มสตาร์ท 2nd generation กับเครื่องรุ่นเก่า
3. Multi Safety Protection Clamp สายจั๊มสตาร์ทที่ช่วยให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเครื่อง
- Reverse Polarity Protection
- Anti Spark Protection
- Short Circuit Protection
- Over Voltage Protection
- Low Voltage Protection
- High Temperature Protection
- Back Charge Protection
ไลน์ไอดี : v-powers
ร้าน V-Powers
ผ่านการลงทะเบียนร้านค้ากับ
บริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยูช็อป จำกัด
เชื่อถือได้ 100%